วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สาระความรู้พระเนื้อผง ตอนที่ 2 โดยหนุ่ยบางพลี

ตอนที่ 2 การเป็นเซียนพระเนื้อผงแบบก้าวกระโดด 
โดย หนุ่ยบางพลี

บทความลงในนิตยสาร สื่อกลางข่าวพระเครื่อง คอลัมน์ เส้นทางเซียนพระ 
ฉบับที่ 55  ประจำเดือนสิงหาคม 2556

สวัสดีครับแฟนคลับของคอลัมน์เส้นทางเซียนพระ เมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้นำเสนอการดูพระเนื้อผง
ให้เป็นภายในวันเดียว.ปรากฏว่ามีให้ความสนใจจำนวนมาก รวมถึงมีผู้ตั้งคำถามอีกมากมาย ต้องขอบพระคุณมากครับที่ให้ความสนใจกันล้นหลามขนาดนี้ครั้งนี้จึงขออนุญาตท่านตอบคำถามที่ได้รวบรวมมาครับ

คำถาม1. พระเนื้อผงจะมีผงแคลเซียมคาร์บอเนตเกิดขึ้น เมื่อพระผงนั้นมีอายุความเก่าเท่าไรครับ
ตอบ. กระบวนการที่ทำให้เกิดผงแคลเซียม เกิดขึ้นตั้งแต่ทำพระเครื่องที่มีมวลสารหลักเป็นปูน
เปลือกหอยนั้นเสร็จ ทำความเข้าใจง่ายๆแบบนี้ครับ ในองค์พระเครื่องนั้นถึงแม้จะอัดแน่นไปด้วยปูนเปลือกหอยแต่ยังมีช่องว่างเล็กๆ ที่เป็นทางให้น้ำระเหยออกมาจากองค์พระ ช่องว่างเหล่านี้จะมีจำนวนมากมาย ขณะที่น้ำไหลระเหยออกมานั้นจะพาเอาผงแคลเซียมเล็กๆออกมาด้วย ถามว่าผงแคลเซียมขนาดเล็กๆนั้นมาจากไหน ก็มาจากสองส่วนครับ ส่วนแรกเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีอยู่ในเนื้อมวลสารตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว ส่วนที่สองเป็นการเปลี่ยนสภาพของแคลเซียมออกไซด์เกิดปฏิกิริยาไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อพาแคลเซียมมาถึงผิวองค์พระ น้ำจะระเหยออกไปคงเหลือไว้แต่เนื้อแคลเซียม ซึ่งแต่ละเม็ดจะมีขนาดไม่เท่ากัน ขึนอยู่กับว่าช่องระเหยขนาดใหญ่มากน้อยเท่าไร รวมถึงการเกิดปฏิกิริยามีมากน้อยเท่าไรด้วย

คำถามที่2.ทำไมพระเนื้อผงแต่ละองค์ปริมาณแคลเซียมที่เกิดขึ้นมีปริมาณมากน้อยต่างกัน
ตอบ.ปริมาณแคลเซียมที่เกิดขึ้นมากหรือน้อยมาจากปัจจัยต่างๆดังนี้ครับ
    1.
ประเภทของปูนขั้นต้นที่นำมาทำเป็นมวลสารหลักขององค์พระเครื่อง มีอัตราส่วนของปูนขาวและเนื้อแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นอย่างไร
    2.
ปริมาณน้ำ(ความชื้น)ที่อยู่ในส่วนผสมขององค์พระ มีมากน้อยอย่างไร การสร้างพระในแต่ละวัด แต่ละสายจะมีองค์ประกอบต่างกันเสมอ แต่ถ้ามีการสร้างที่ใช้มวลสารและกระบวนการที่เหมือนกันปริมาณแคลเซียมจะใกล้เคียงกันเมื่อพระนั้นมีอายุเท่าๆกัน
    3.
สิ่งแวดล้อมหรือสถานที่เก็บรักษาพระเครื่องนั้น มีปริมาณความชื้นมากน้อยเพียงใด พระเนื้อผงบางองค์ไปอยู่ในสภาพที่มีความชื้นสูงๆะเกิดแคลเซียมมาก รวมถึงการเกิดแคลเซียมในลักษณะหินงอกหินย้อย(บางเซียนเรียกว่าพระธาตุ)จะเกิดขึ้นด้วย
     4.
ในกรณีที่มีการเคลือบแต่งผิว เช่นการปิดทอง การลงรัก การทาน้ำยาเคลือบ หรือการทาแชล็ก
เป็นกระบวนการที่ไปปิดรูระเหยของน้ำ เราจึงไม่เห็นแคลเซียม แต่ในจุดที่ไม่ได้เคลือบหรือบริเวณที่น้ำยาเคลือบไม่ถึง ผงแคลเซียมจะไปอออยู่เป็นจำนวนมาก บางทีเมื่อพระที่ทำการเคลือบเก็บไว้นาน
และผิวพระถูกสะกิดจะทำให้ผงแคลเซียมไหลออกมาที่จุดเดียวนี้มาก

คำถามที่3.ผงแคลเซียมจะเกิดขึ้นด้านหลังองค์พระเครื่องหรือไม่
ตอบ. การเกิดผงแคลเซียมมาจากการระเหยของน้ำที่ออกจากช่องรูระบายขององค์พระ หากด้านหลังองค์พระนั้นวางแนบสนิทกับพื้นที่เก็บ การระเหยจะทำได้ยาก แต่ต้องมีแคลเซียมแน่นอนแต่น้อยหน่อย พระบางองค์ที่เก็บรักษาไว้ในสภาพคว่ำหน้า ผงแคลเซียมย่อมเกิดขึ้นในบริเวณหลังขององค์พระมากกว่าปรกติ ถ้าพระไปวางในที่ชื้นมาก จะเห็นเป็นเม็ดพระธาตุเล็กเกาะที่ผิว หรือเห็นเป็นฟองเต้าหู้เกาะอยู่ การที่เราไม่เห็นแคลเซียม ไม่ใช่ไม่มี แต่อาจมีการขูด ถู ไถ หรือจับสัมผัสบ่อยครั้งจนแคลเซียมหลุดไปหมด ตามธรรมชาติผงแคลเซียมจะไม่หลุดออกโดยง่ายหากถูกกระทบกระเทือนเบาๆ

คำถามที่4.จะรู้ได้อย่างไรว่าผงที่เราส่องเห็นเป็นผงแคลเซียมไม่ใช่ผงแป้ง
ตอบ. เซียนหลายท่านเรียกผงขาวๆที่เห็นว่าเป็นแป้งโรยพิมพ์ การเกิดผงแคลเซียมนับตั้งวันที่สร้างพระเครื่ององค์นั้น จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะเวลา จนกระทั่งความชื้นในเนื้อองค์พระหมดหรือน้อยมากๆจึงหยุด แต่ถ้าย้ายไปเก็บในที่ซึ่งมีความชื้นสูงกว่าปรกติ ผงแคลเซียมจะเกิดขึ้นต่ออีก หากเป็นผงแป้งย่อมมีแต่ปริมาณที่เท่าเดิมหรือน้อยลงไป ไม่มีทางเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับการสังเกตุความแตกต่างระหว่างผงแป้งกับผงแคลเซียมคือ ผงแป้งจะมีลักษณะรูปร่างไม่แน่นอนยาวบ้างเหลี่ยมบ้าง แต่ผงแคลเซียมจะมีลักษณะกลมมนให้นึกถึงก้อนกรวดริมลำธารที่มีน้ำไหลผ่าน บางเม็ดจะออกขาวขุ่น ถ้าสังเกตุบ่อยๆจะชำนาญมากขึ้น

คำถามที่5.การเกิดผงแคลเซียมจะเกิดมากบริเวณใด
ตอบ การเกิดผงแคลเซียมจะเกิดขึ้นบริเวณที่ต่ำสุดของผิวองค์พระ ตามธรรมชาติการระเหยของน้ำต้องพยายามระเหยในระยะทางที่ใกล้สุด ตัวองค์พระ บริเวณเศียรจะอยู่สูงที่สุด บริเวณอก สังฆาฏิ
เข่า ขา หรือเส้นซุ้มพระ จะอยู่ที่สูงกว่า ดังนั้นผงแคลเซียมจึงปรากฏในส่วนที่เป็นพื้นองค์พระมากหว่าส่วนอื่นๆ

       
ขอบพระคุณอย่างยิ่งในคำถามที่ ส่งเข้ามากันครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะได้นำไปประกอบเพื่อทำความเข้าใจในการศึกษาพระเนื้อผง หากมีคำถามติดต่อเข้ามาได้เลยครับ 081 411 4141
หรืออีเมล์ tanachaia@gmail.com. หากสนใจศึกษาสมัครเรียนกันมาได้ครับ ที่ชมรมการเรียนรู้พระเครื่องไทยท่านจะได้เป็นเซียนพระแบบก้าวกระโดดตัวจริงครับ

พระเครื่อง-พระหลวงพ่อโตบางพลี สร้างปี พ.ศ. 2300 - พ.ศ.2500

กำลังอยู่ระหว่างจัดเตรียมข้อมูล ณ 14 สิงหาคม 2556
หนุ่ย บางพลี  
โทร 081 411 4141  
www.nuibangplee.com  

พระเครื่อง พระหลวงพ่อโต 

วัดบางพลีใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ

                                                                                     

1.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์ผนังโบสถ์เนื้อชินเงิน ปี พ.ศ. 2300

2.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์ผนังโบสถ์เนื้อชิ้นตะกั่ว ปี พ.ศ.2300

3.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่หลังผ้า-หน้าใหญ่ ปี พ.ศ. 2461
 

4.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่หลังผ้า-หน้ากลาง ปี พ.ศ. 2461

5.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่หลังผ้า-หน้าเล็ก ปี พ.ศ.2461
6.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่หลังผ้า-หน้าหนู ปี พ.ศ.2461
 

7.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สมเด็จหลังผ้าพิมพ์ใหญ่(พิมพ์สมาธิ) ปี พ.ศ. 2461

8.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สมเด็จหลังผ้าพิมพ์เล็ก(พิมพ์สมาธิ) ปี พ.ศ. 2461

9.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมใหญ่เนื้อดินหลวงตาวัน ปี พ.ศ.2470

10.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์ภาพถ่ายหลวงพ่อโตศาลาตาแปลก ปี พ.ศ. 2493

11.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์สามเหลี่ยมเนื้อตะกั่วสององค์สามขีด ปี พ.ศ. 2495

12.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์เหรียญดอกจิกซุ้มชินราช ปี พ.ศ.2495

13.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์เหรียญดอกจิกซุ้มไข่ปลา ปี พ.ศ. 2495

14.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์เหรียญดอกจิกซุ้มเส้นลวด ปี พ.ศ.2495

15.หลวงพ่อโตบางพลี พิมพ์รูปหล่อก้นจาร ปี พ.ศ. 2496


























สาระความรู้พระเนื้อผง ตอนที่ 1 โดยหนุ่ย บางพลี

ตอนที่ 1 การเป็นเซียนพระเนื้อผงแบบก้าวกระโดด  
โดย หนุ่ย บางพลี
บทความลงในนิตยสารสื่อกลางข่าวพระเครื่อง คอลัมน์ เส้นทางเเซียนพระ ฉบับที่ 54
ประจำเดือนกรกฎาคม 2556

         สวัสดีครับ ผมหนุ่ยบางพลี มาพบกับท่านแล้วครับหลังจากให้พี่ซ้งได้ทำหน้าที่แทนสองครั้ง

มาวันนี้มีของดีมาฝากครับ มาชวนท่านดูพระเครื่องเนื้อผงให้เป็นภายในวันเดียวครับ ...อึ้งไหมล่ะครับ   เซียนพระบางท่านดูพระเนื้อผงมาหลายปียังขาดๆเกินๆ...เซียนพระรุ่นใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชอบเล่นพระเหรียญ เพราะเหรียญมักจะมีชื่อพระเกจิหรือวัดที่สร้างปรากฏอยู่ บางทีมีพ.ศ.ที่สร้างอยู่ด้วย ทำให้รู้จักได้ง่าย ยิ่งถ้ามีคนบอกตำหนิของแท้ด้วยแล้ว แทบจะดูพระรุ่นนั้นเป็นภายในวันเดียว แต่ถ้าเป็นพระเนื้อผง เซียนรุ่นใหม่เกือบทั้งร้อยกระโดดหนีไว้ก่อน ผมได้ลองถามเซียนพระทั่วๆไปว่า เวลาที่ท่านส่องพระเนื้อผงนั้นน่ะ ท่านดูอะไรในองค์พระนั้นบ้างถึงจะรู้ว่าพระองค์นั้นแท้ คำตอบที่ได้คือนอกจากเรื่องดูสภาพทางกายภาพขององค์พระ ในเรื่องความหนักเบา การทรุดตัว การหดตัว ของเนื้อพระแล้ว เรื่องพิมพ์ทรงเป็นเรื่องใหญ่ การจะแม่นพิมพ์ทรงหมายถึงท่านต้องมีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ในพระเครื่องเนื้อผงเป็นเวลานาน นั่นหมายถึง ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายปีจึงมีความแม่นยำ และยิ่งจดจำลักษณะของเนื้อได้อีก รู้ว่าพระกลุ่มนี้มีมวลสารใดบ้าง ก็ยิ่งแม่นยำขึ้นไปอีก การดูพระเนื้อผงให้เป็นภายในวันเดียวจึงไม่สามารถกระทำได้เลย
แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งท้อ ผมมีวิธีเรียนลัดครับ
          พระเนื้อผงต้นตำรับทุกคนยกให้พระสมเด็จวัดระฆ้งเป็นต้นแบบ(บางท่านให้สมเด็จอรหัง-สมเด็จสังฆราชสุก) ซึ่งพื้นฐานการสร้างพระเนื้อผงมาจากการนำปูนเปลือกหอยมาตำ งานนี้ไม่รวมถึงพระเนื้อว่าน หรือผงยานะครับเพราะไม่ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก (แต่เดิมต้องเป็นปูนเปลือกหอยจากเพชรบุรี-ต้นตำรับปูนปั้น) แล้วจึงใส่มวลสารต่างๆ เช่นการใส่กระดาษสา เพื่อให้เนื้อไม่แตกหัก น้ำมันตังอิ๊ว เป็นตัวประสานเนื้อ มวลสารต่างๆที่เป็นมงคล  จึงนำไปกดพิมพ์ตามที่ออกแบบไว้.  เราจะเห็นว่าแกนมวลสารของเนื้อพระคือปูนเปลือกหอย (ปูนหอยหรือปูนเปลือกหอย เป็นปูนที่นำเปลือกหอยมาเผาและบดให้ละเอียด นำมาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ผงพระเครื่อง นำมาผสมกับน้ำมันตังอิ๊ว. และส่วนผสมต่าง ๆ อีกทั้งยังนำมาเป็นปูนกินหมากได้ ปูนหอยที่นิยมก็จะเป็นปูนจากหอยแครง และหอยตลับ เพราะให้เนื้อปูนขาวได้มากกว่า ยังนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ดี และอาหารสัตว์ได้อีก-วิกิพีเดีย)
ปูนที่ได้จากการนำปูนเปลือกหอยมาใช้จะได้สารแคลเซียมเช่นเดียวกับการผลิตปูนขาว
(ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime))
          อย่าเพิ่งส่ายหน้ากับศัพท์แสงทางวิทยาศาตร์ไปครับ เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆก็คือ เจ้าตัวแคลเซียมนี่เหละจะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นการแสดงออกมาซึ่งความเก่าแก่ของพระเนื้อผง กระบวนการแปรสภาพ
ของแคลเซียม เริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่การสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นเสร็จขึ้นมา เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งความชื้นที่อยู่ในเนื้อพระจะระเหยออกมาที่ผิว ระหว่างที่น้ำเคลื่อนที่ขึ้นมาที่ผิวจะนำพาเอาผงแคลเซียมขนาดเล็กมากๆมาด้วย เมื่อน้ำระเหยไปจึงเหลือคราบของแคลเซียมขาวๆไว้ที่ผิว ที่เราเรียกว่าแป้งโรยพิมพ์หรือจะเรียกอะไรก็สุดแท้แต่ ที่รู้คือจะมีออกมามากน้อยขึ้นอยู่กับว่า พระองค์นั้นมีความชื้นในเนื้อมากน้อยเพียงใด ถามว่า จะไม่มีคราบขาวเลยได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ครับ ต้องมีเสมอ อีกทั้งในแต่ละจุดขององค์พระก็จะมีคราบแคลเซียมไม่เท่ากัน ถ้าการสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นมาจากปูนเปลือกหอยหรือปูนขาว ดังนั้นไม่ว่าพระจะเก่าแก่มากน้อยเพียงใดเราจะได้เห็นปริมาณผงแคลเซียมมากน้อยตามไปด้วย แม้ว่าจะปัดออกก็จะไม่หมด ดังนั้นเราต้องสังเกตุให้ชัดเจน
มาถึงตรงนี้ เราจะรู้ว่า ถ้าพระนั้นไม่ได้ทำจากปูนเปลือกหอย (พระเก๊ บางทีใช้ปูนปลาสเตอร์หรือแป้งทำอาหาร มาสร้างพระ ย่อมไม่เห็นแคลเซียมแต่จะเห็นเป็นแป้งชนิดอื่นแทน)
          กระบวนการระเหยขององค์พระเกิดขึ้นตลอดเวลา น้ำที่อยู่ในองค์พระซึ่งมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่การสร้างพระและคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปสัมผัสกับน้ำในองค์พระ เกิดเป็นกรดคาร์บอนิกขึ้น เจ้ากรดอ่อนๆนี้แหละจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในเนื้อพระ เกิดเป็นแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตออกมาอยู่ที่ผิวองค์พระโดยจะมีมากในส่วนที่เป็นส่วนนูนสุดก่อน เราจะเห็นเนื้อพระตรงที่สารละลายระเหยเหลือแต่ผงละเอียดสะสมตรงพื้นผิวเกาะกันคล้ายเป็นหินอ่อน คล้ายกับกระบวนการเกิดหินงอกนั่นเอง ซึ่งจุดนี้เราสามารถวิเคราะห์อายุความเก่าแก่ขององค์พระได้ง่าย ส่วนพระเก๊หรือพระที่มีอายุไม่มากย่อมไม่ปรากฏสิ่งที่เรากล่าวถึงนี้ หรือพระเก๊บางองค์มีสภาพเป็นหินอ่อนไปทั้งองค์เลย ซึ่งผิดธรรมชาติไป
          นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับของการเปลี่ยนแปลงสภาพของสารแคลเซียมอีกหลายประการ สิ่งเหล่านี้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกได้ มีที่มามีที่ไป หลอกกันไม่ได้ คงต้องอุบไว้คุยกันในห้องเรียนครับ นี่แหละเซียนใหม่ หรือเซียนเก่าที่ต้องการดูพระเนื้อผงให้เป็นโดยเฉพาะดูความเก่าแก่ของพระเนื้อผง สามารถเก่งแบบก้าวกระโดดภายในวันเดียว ..ทำได้แน่ครับ..แล้วท่านล่ะจะไม่ลองมาเรียนรู้การดูพระเครื่องโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วยบ้างหรือครับ ...แล้วพบกันในห้องเรียน..อ.หนุ่ยบางพลี. 081- 4114141

พระหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ

อยู่ระหว่างจัึดเตรียมบทความ
14 สิงหาคม 2556