ตอนที่ 1 การเป็นเซียนพระเนื้อผงแบบก้าวกระโดด
โดย หนุ่ย บางพลี
บทความลงในนิตยสารสื่อกลางข่าวพระเครื่อง คอลัมน์
เส้นทางเเซียนพระ ฉบับที่ 54
ประจำเดือนกรกฎาคม 2556
สวัสดีครับ ผมหนุ่ยบางพลี มาพบกับท่านแล้วครับหลังจากให้พี่ซ้งได้ทำหน้าที่แทนสองครั้ง
มาวันนี้มีของดีมาฝากครับ
มาชวนท่านดูพระเครื่องเนื้อผงให้เป็นภายในวันเดียวครับ ...อึ้งไหมล่ะครับ
เซียนพระบางท่านดูพระเนื้อผงมาหลายปียังขาดๆเกินๆ...เซียนพระรุ่นใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ชอบเล่นพระเหรียญ เพราะเหรียญมักจะมีชื่อพระเกจิหรือวัดที่สร้างปรากฏอยู่ บางทีมีพ.ศ.ที่สร้างอยู่ด้วย
ทำให้รู้จักได้ง่าย ยิ่งถ้ามีคนบอกตำหนิของแท้ด้วยแล้ว
แทบจะดูพระรุ่นนั้นเป็นภายในวันเดียว แต่ถ้าเป็นพระเนื้อผง
เซียนรุ่นใหม่เกือบทั้งร้อยกระโดดหนีไว้ก่อน ผมได้ลองถามเซียนพระทั่วๆไปว่า
เวลาที่ท่านส่องพระเนื้อผงนั้นน่ะ ท่านดูอะไรในองค์พระนั้นบ้างถึงจะรู้ว่าพระองค์นั้นแท้
คำตอบที่ได้คือนอกจากเรื่องดูสภาพทางกายภาพขององค์พระ ในเรื่องความหนักเบา
การทรุดตัว การหดตัว ของเนื้อพระแล้ว เรื่องพิมพ์ทรงเป็นเรื่องใหญ่
การจะแม่นพิมพ์ทรงหมายถึงท่านต้องมีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ในพระเครื่องเนื้อผงเป็นเวลานาน
นั่นหมายถึง ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายปีจึงมีความแม่นยำ
และยิ่งจดจำลักษณะของเนื้อได้อีก รู้ว่าพระกลุ่มนี้มีมวลสารใดบ้าง
ก็ยิ่งแม่นยำขึ้นไปอีก
การดูพระเนื้อผงให้เป็นภายในวันเดียวจึงไม่สามารถกระทำได้เลย
แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งท้อ ผมมีวิธีเรียนลัดครับ
พระเนื้อผงต้นตำรับทุกคนยกให้พระสมเด็จวัดระฆ้งเป็นต้นแบบ(บางท่านให้สมเด็จอรหัง-สมเด็จสังฆราชสุก) ซึ่งพื้นฐานการสร้างพระเนื้อผงมาจากการนำปูนเปลือกหอยมาตำ งานนี้ไม่รวมถึงพระเนื้อว่าน หรือผงยานะครับเพราะไม่ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก (แต่เดิมต้องเป็นปูนเปลือกหอยจากเพชรบุรี-ต้นตำรับปูนปั้น) แล้วจึงใส่มวลสารต่างๆ เช่นการใส่กระดาษสา เพื่อให้เนื้อไม่แตกหัก น้ำมันตังอิ๊ว เป็นตัวประสานเนื้อ มวลสารต่างๆที่เป็นมงคล จึงนำไปกดพิมพ์ตามที่ออกแบบไว้. เราจะเห็นว่าแกนมวลสารของเนื้อพระคือปูนเปลือกหอย (ปูนหอยหรือปูนเปลือกหอย เป็นปูนที่นำเปลือกหอยมาเผาและบดให้ละเอียด นำมาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ผงพระเครื่อง นำมาผสมกับน้ำมันตังอิ๊ว. และส่วนผสมต่าง ๆ อีกทั้งยังนำมาเป็นปูนกินหมากได้ ปูนหอยที่นิยมก็จะเป็นปูนจากหอยแครง และหอยตลับ เพราะให้เนื้อปูนขาวได้มากกว่า ยังนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ดี และอาหารสัตว์ได้อีก-วิกิพีเดีย)
ปูนที่ได้จากการนำปูนเปลือกหอยมาใช้จะได้สารแคลเซียมเช่นเดียวกับการผลิตปูนขาว
(ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime))
อย่าเพิ่งส่ายหน้ากับศัพท์แสงทางวิทยาศาตร์ไปครับ เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆก็คือ เจ้าตัวแคลเซียมนี่เหละจะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นการแสดงออกมาซึ่งความเก่าแก่ของพระเนื้อผง กระบวนการแปรสภาพ
ของแคลเซียม เริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่การสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นเสร็จขึ้นมา เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งความชื้นที่อยู่ในเนื้อพระจะระเหยออกมาที่ผิว ระหว่างที่น้ำเคลื่อนที่ขึ้นมาที่ผิวจะนำพาเอาผงแคลเซียมขนาดเล็กมากๆมาด้วย เมื่อน้ำระเหยไปจึงเหลือคราบของแคลเซียมขาวๆไว้ที่ผิว ที่เราเรียกว่าแป้งโรยพิมพ์หรือจะเรียกอะไรก็สุดแท้แต่ ที่รู้คือจะมีออกมามากน้อยขึ้นอยู่กับว่า พระองค์นั้นมีความชื้นในเนื้อมากน้อยเพียงใด ถามว่า จะไม่มีคราบขาวเลยได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ครับ ต้องมีเสมอ อีกทั้งในแต่ละจุดขององค์พระก็จะมีคราบแคลเซียมไม่เท่ากัน ถ้าการสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นมาจากปูนเปลือกหอยหรือปูนขาว ดังนั้นไม่ว่าพระจะเก่าแก่มากน้อยเพียงใดเราจะได้เห็นปริมาณผงแคลเซียมมากน้อยตามไปด้วย แม้ว่าจะปัดออกก็จะไม่หมด ดังนั้นเราต้องสังเกตุให้ชัดเจน
มาถึงตรงนี้ เราจะรู้ว่า ถ้าพระนั้นไม่ได้ทำจากปูนเปลือกหอย (พระเก๊ บางทีใช้ปูนปลาสเตอร์หรือแป้งทำอาหาร มาสร้างพระ ย่อมไม่เห็นแคลเซียมแต่จะเห็นเป็นแป้งชนิดอื่นแทน)
กระบวนการระเหยขององค์พระเกิดขึ้นตลอดเวลา น้ำที่อยู่ในองค์พระซึ่งมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่การสร้างพระและคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปสัมผัสกับน้ำในองค์พระ เกิดเป็นกรดคาร์บอนิกขึ้น เจ้ากรดอ่อนๆนี้แหละจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในเนื้อพระ เกิดเป็นแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตออกมาอยู่ที่ผิวองค์พระโดยจะมีมากในส่วนที่เป็นส่วนนูนสุดก่อน เราจะเห็นเนื้อพระตรงที่สารละลายระเหยเหลือแต่ผงละเอียดสะสมตรงพื้นผิวเกาะกันคล้ายเป็นหินอ่อน คล้ายกับกระบวนการเกิดหินงอกนั่นเอง ซึ่งจุดนี้เราสามารถวิเคราะห์อายุความเก่าแก่ขององค์พระได้ง่าย ส่วนพระเก๊หรือพระที่มีอายุไม่มากย่อมไม่ปรากฏสิ่งที่เรากล่าวถึงนี้ หรือพระเก๊บางองค์มีสภาพเป็นหินอ่อนไปทั้งองค์เลย ซึ่งผิดธรรมชาติไป
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับของการเปลี่ยนแปลงสภาพของสารแคลเซียมอีกหลายประการ สิ่งเหล่านี้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกได้ มีที่มามีที่ไป หลอกกันไม่ได้ คงต้องอุบไว้คุยกันในห้องเรียนครับ นี่แหละเซียนใหม่ หรือเซียนเก่าที่ต้องการดูพระเนื้อผงให้เป็นโดยเฉพาะดูความเก่าแก่ของพระเนื้อผง สามารถเก่งแบบก้าวกระโดดภายในวันเดียว ..ทำได้แน่ครับ..แล้วท่านล่ะจะไม่ลองมาเรียนรู้การดูพระเครื่องโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วยบ้างหรือครับ ...แล้วพบกันในห้องเรียน..อ.หนุ่ยบางพลี. 081- 4114141
แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งท้อ ผมมีวิธีเรียนลัดครับ
พระเนื้อผงต้นตำรับทุกคนยกให้พระสมเด็จวัดระฆ้งเป็นต้นแบบ(บางท่านให้สมเด็จอรหัง-สมเด็จสังฆราชสุก) ซึ่งพื้นฐานการสร้างพระเนื้อผงมาจากการนำปูนเปลือกหอยมาตำ งานนี้ไม่รวมถึงพระเนื้อว่าน หรือผงยานะครับเพราะไม่ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก (แต่เดิมต้องเป็นปูนเปลือกหอยจากเพชรบุรี-ต้นตำรับปูนปั้น) แล้วจึงใส่มวลสารต่างๆ เช่นการใส่กระดาษสา เพื่อให้เนื้อไม่แตกหัก น้ำมันตังอิ๊ว เป็นตัวประสานเนื้อ มวลสารต่างๆที่เป็นมงคล จึงนำไปกดพิมพ์ตามที่ออกแบบไว้. เราจะเห็นว่าแกนมวลสารของเนื้อพระคือปูนเปลือกหอย (ปูนหอยหรือปูนเปลือกหอย เป็นปูนที่นำเปลือกหอยมาเผาและบดให้ละเอียด นำมาใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ผงพระเครื่อง นำมาผสมกับน้ำมันตังอิ๊ว. และส่วนผสมต่าง ๆ อีกทั้งยังนำมาเป็นปูนกินหมากได้ ปูนหอยที่นิยมก็จะเป็นปูนจากหอยแครง และหอยตลับ เพราะให้เนื้อปูนขาวได้มากกว่า ยังนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ดี และอาหารสัตว์ได้อีก-วิกิพีเดีย)
ปูนที่ได้จากการนำปูนเปลือกหอยมาใช้จะได้สารแคลเซียมเช่นเดียวกับการผลิตปูนขาว
(ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ำให้ชุ่ม ปูนสุกจะทำปฏิกิริยากับน้ำได้เป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ำปูนไลม์ (Milk of lime))
อย่าเพิ่งส่ายหน้ากับศัพท์แสงทางวิทยาศาตร์ไปครับ เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆก็คือ เจ้าตัวแคลเซียมนี่เหละจะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นการแสดงออกมาซึ่งความเก่าแก่ของพระเนื้อผง กระบวนการแปรสภาพ
ของแคลเซียม เริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่การสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นเสร็จขึ้นมา เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งความชื้นที่อยู่ในเนื้อพระจะระเหยออกมาที่ผิว ระหว่างที่น้ำเคลื่อนที่ขึ้นมาที่ผิวจะนำพาเอาผงแคลเซียมขนาดเล็กมากๆมาด้วย เมื่อน้ำระเหยไปจึงเหลือคราบของแคลเซียมขาวๆไว้ที่ผิว ที่เราเรียกว่าแป้งโรยพิมพ์หรือจะเรียกอะไรก็สุดแท้แต่ ที่รู้คือจะมีออกมามากน้อยขึ้นอยู่กับว่า พระองค์นั้นมีความชื้นในเนื้อมากน้อยเพียงใด ถามว่า จะไม่มีคราบขาวเลยได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ครับ ต้องมีเสมอ อีกทั้งในแต่ละจุดขององค์พระก็จะมีคราบแคลเซียมไม่เท่ากัน ถ้าการสร้างพระเนื้อผงองค์นั้นมาจากปูนเปลือกหอยหรือปูนขาว ดังนั้นไม่ว่าพระจะเก่าแก่มากน้อยเพียงใดเราจะได้เห็นปริมาณผงแคลเซียมมากน้อยตามไปด้วย แม้ว่าจะปัดออกก็จะไม่หมด ดังนั้นเราต้องสังเกตุให้ชัดเจน
มาถึงตรงนี้ เราจะรู้ว่า ถ้าพระนั้นไม่ได้ทำจากปูนเปลือกหอย (พระเก๊ บางทีใช้ปูนปลาสเตอร์หรือแป้งทำอาหาร มาสร้างพระ ย่อมไม่เห็นแคลเซียมแต่จะเห็นเป็นแป้งชนิดอื่นแทน)
กระบวนการระเหยขององค์พระเกิดขึ้นตลอดเวลา น้ำที่อยู่ในองค์พระซึ่งมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่การสร้างพระและคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปสัมผัสกับน้ำในองค์พระ เกิดเป็นกรดคาร์บอนิกขึ้น เจ้ากรดอ่อนๆนี้แหละจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในเนื้อพระ เกิดเป็นแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตออกมาอยู่ที่ผิวองค์พระโดยจะมีมากในส่วนที่เป็นส่วนนูนสุดก่อน เราจะเห็นเนื้อพระตรงที่สารละลายระเหยเหลือแต่ผงละเอียดสะสมตรงพื้นผิวเกาะกันคล้ายเป็นหินอ่อน คล้ายกับกระบวนการเกิดหินงอกนั่นเอง ซึ่งจุดนี้เราสามารถวิเคราะห์อายุความเก่าแก่ขององค์พระได้ง่าย ส่วนพระเก๊หรือพระที่มีอายุไม่มากย่อมไม่ปรากฏสิ่งที่เรากล่าวถึงนี้ หรือพระเก๊บางองค์มีสภาพเป็นหินอ่อนไปทั้งองค์เลย ซึ่งผิดธรรมชาติไป
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับของการเปลี่ยนแปลงสภาพของสารแคลเซียมอีกหลายประการ สิ่งเหล่านี้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกได้ มีที่มามีที่ไป หลอกกันไม่ได้ คงต้องอุบไว้คุยกันในห้องเรียนครับ นี่แหละเซียนใหม่ หรือเซียนเก่าที่ต้องการดูพระเนื้อผงให้เป็นโดยเฉพาะดูความเก่าแก่ของพระเนื้อผง สามารถเก่งแบบก้าวกระโดดภายในวันเดียว ..ทำได้แน่ครับ..แล้วท่านล่ะจะไม่ลองมาเรียนรู้การดูพระเครื่องโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วยบ้างหรือครับ ...แล้วพบกันในห้องเรียน..อ.หนุ่ยบางพลี. 081- 4114141
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น